POSTNEWS ONLINE “มิสเตอร์เอทานอล-อลงกรณ์” ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่อัพเกรดอุตสาหกรรมยานยนต์สู่ฮับเอทานอลE100 ของโลก

      “มิสเตอร์เอทานอล-อลงกรณ์” ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่อัพเกรดอุตสาหกรรมยานยนต์สู่ฮับเอทานอลE100 ของโลก

     นายอลงกรณ์ พลบุตร ฉายา“มิสเตอร์เอทานอล” ในฐานะประธานกิตติมศักดิ์และผู้ก่อตั้งมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย (AIT) ประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไครเมท(WCF)และประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.(FKII) บรรยายพิเศษในการเสวนา “ เชื้อเพลิงชีวภาพ Biofuel   พลังงานเกษตรแห่งอนาคต” จัดโดยสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย(AIT)


      ในงาน มหกรรมยานยนต์นานาชาติ Thailand International Motor Expo ครั้งที่ 42  วันพฤหัส ที่ 4ธันวาคม  พศ.2568 ภายใต้ธีม “🇹🇭 ประเทศไทย: เกษตรมั่งคั่ง พลังงานยั่งยืน“ในหัวข้อ“เอทานอล E100: มิติใหม่เชื้อเพลิงชีวภาพและอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย”


     โดยตั้งคำถามว่า เราจะยอมให้การลงทุนและองค์ความรู้กว่า 50 ปีในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต้องสูญเปล่าไปหรือไม่? เรามีทางเลือกที่จะ "ต่อยอด" อุตสาหกรรมนี้ได้หรือไม่? ปัจจุบัน ประเทศไทยมียานยนต์จดทะเบียนสะสมรวมกว่า 44.9 ล้านคัน เป็นยานยนต์สันดาปถึง 98% และเป็นฐานการผลิตอันดับที่ 12 ของโลกพร้อมกับเสนอวิสัยทัศน์เชิงปฏิรูปสำหรับอุตสาหกรรมพลังงานและยานยนต์แนวทางใหม่อย่างน่าสนใจว่าสหรัฐฯ, จีน, และประเทศอุตสาหกรรมยานยนต์ชั้นนำกำลังแข่งขันกันอย่างเข้มข้นในตลาด EV ประเทศไทยซึ่งมีศักยภาพอันโดดเด่นด้านเกษตรพลังงานและอุตสาหกรรมยานยนต์ สามารถเลือกเดินในทิศทางใหม่เพื่อการเป็น "ศูนย์กลางยานยนต์ E100 แห่งแรกของโลก" ด้วยแนวทางใหม่ที่ผสานพลังงานเกษตรเข้ากับอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต


โดยมีเนื้อหาการบรรยายดังนี้


“🇹🇭 ประเทศไทย: เกษตรมั่งคั่ง พลังงานยั่งยืน“ในหัวข้อ


“เอทานอล E100: มิติใหม่เชื้อเพลิงชีวภาพและอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย”


     โดย นายอลงกรณ์ พลบุตร มิสเตอร์เอทานอลประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไครเมท(WCF) ประธานกิตติมศักดิ์และผู้ก่อตั้งมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย (AIT)ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.(FKII)


4 ธันวาคม พ.ศ. 2568

บรรยายพิเศษในงาน มหกรรมยานยนต์นานาชาติ Thailand International Motor Expo ครั้งที่ 42


“ ถ้าเอไอ.คืออนาคตของเทคโนโลยี 


เอทานอลคืออนาคตของพลังงานที่ยั่งยืนของไทยและของโลก..มิสเตอร์เอทานอล“


    ภายใต้ สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และโลกเดือด ทั่วโลกกำลังแสวงหาแนวทางสร้างความมั่นคงทางพลังงานและอาหารของตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงจากความขัดแย้งที่ขยายตัวรุนแรงมากขึ้นในหลายภูมิภาคและภัยคุกคามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้ว(Extreme Climate Change)โดยเฉพาะคำเตือน”ไฮเวย์สู่นรกภูมิอากาศ“ของเลขาธิการองค์การสหประชาชาติจากการประชุมCOP30 ที่บราซิลเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และถัดมาไม่กี่วันสหภาพยุโรปก็ประกาศนโยบายปลดแอกด้านพลังงานด้วยความตกลงร่วมกันที่จะไม่นำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียภายในปลายปี 2570 โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามยุติการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียที่เป็นยาวนานหลายทศวรรษ

ความท้าทายของประเทศไทย: พลังงานและอุตสาหกรรมยานยนต์

ในยุคที่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังเป็นเทรนด์โลกและมีอัตราการเติบโตสูงถึงกว่า 50% ต่อปี หลายคนอาจตั้งคำถามว่ายานยนต์สันดาปภายใน (ICE) กำลังจะถึงจุดจบหรือไม่?

นี่คือความท้าทายที่เราต้องเผชิญ:


• ระบบส่งกำลัง มูลค่ากว่า 4.2 แสนล้านบาท อาจสูญพันธุ์


• โรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ 2,500 แห่ง ต้องปรับตัวครั้งใหญ่


• ศูนย์บริการและอู่ซ่อมรถ 35,000 แห่ง อาจต้องปิดตัว


เราจะยอมให้การลงทุนและองค์ความรู้กว่า 50 ปีในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต้องสูญเปล่าไปหรือไม่? เรามีทางเลือกที่จะ "ต่อยอด" อุตสาหกรรมนี้ได้หรือไม่? ปัจจุบัน ประเทศไทยมียานยนต์จดทะเบียนสะสมรวมกว่า 44.9 ล้านคัน เป็นยานยนต์สันดาปถึง 98% และเป็นฐานการผลิตอันดับที่ 12 ของโลก


วิสัยทัศน์ใหม่สู่ศูนย์กลาง E100 ของโลก


สหรัฐฯ, จีน, และประเทศอุตสาหกรรมยานยนต์ชั้นนำกำลังแข่งขันกันอย่างเข้มข้นในตลาด EV 


ประเทศไทยซึ่งมีศักยภาพอันโดดเด่นด้านเกษตรพลังงานและอุตสาหกรรมยานยนต์ สามารถเลือกเดินในทิศทางใหม่เพื่อการเป็น "ศูนย์กลางยานยนต์ E100 แห่งแรกของโลก" ด้วยแนวทางใหม่ที่ผสานพลังงานเกษตรเข้ากับอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต

ศักยภาพเอทานอล: 


จุดเปลี่ยนพลังงาน-อุตสาหกรรมยานยนต์


 ในปีค.ศ. 2000 ปีแรกของศตวรรษที่ 21


    ประเทศไทยได้เริ่มต้นศักราชใหม่ของเชื้อเพลิงชีวภาพเอทานอลมาแล้วกว่า 25 ปี 


    ปัจจุบันมีโรงงานเอทานอล 28 แห่ง ทั่วประเทศ รวมกำลังการผลิต 7.8 ล้านลิตรต่อวัน เพื่อผลิตแก๊สโซฮอล์ E10, E20, และ E85 จำหน่ายทั่วประเทศ และส่งออกไปต่างประเทศเป็นลำดับต้นของโลก

  นับเป็นฐานสำคัญที่ เราสามารถยกระดับเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมใหม่ระดับโลก ด้วยการเป็น "ศูนย์กลางยานยนต์และเชื้อเพลิงชีวภาพ E100 ของโลก"

บราซิล: ตัวอย่างที่พิสูจน์แล้ว

บราซิลเป็นผู้นำโลกด้านยานยนต์ Flex-Fuel (FFV:Flex-Fuel Vehicles) ที่สามารถใช้เชื้อเพลิงได้ตั้งแต่ E27 (แก๊สโซฮอล์ 27%) จนถึง E100 (เอธานอล 100%) โดยตลาดรถยนต์บราซิลพิสูจน์แล้วว่า เทคโนโลยี Flex-Fuel สามารถประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ โดยมีรถยนต์จากทุกแบรนด์ใหญ่รองรับ E27-E100 มีรถ Flex-Fuel เกือบ 40 ล้านคัน

รถยนต์ Flex-Fuelในบราซิล

1.Volkswagen เยอรมนี ครองส่วนแบ่งตลาด 22.3% เริ่มผลิตปี 2003


2.Fiat อิตาลี 21.5% 2004


3.General Motors (Chevrolet) สหรัฐอเมริกา 18.7% 2004


4.Toyota ญี่ปุ่น 9.2% 2006


5.Hyundai เกาหลีใต้ 8.5% 2009


6.Renault ฝรั่งเศส 7.1% 2006


7.Honda ญี่ปุ่น 4.8% 2006


8.Ford สหรัฐอเมริกา 4.5% 2004


9.Nissan ญี่ปุ่น 2.1% 2010


เทคโนโลยี E100 


เทคโนโลยี E100ใช้งานปัจจุบัน


• Bosch ได้พัฒนาระบบ Flex-Fuel ที่ใช้ได้ทั้ง E100 และน้ำมันเบนซิน


• Magneti Marelli ได้พัฒนาชุดหัวฉีดพิเศษสำหรับเอทานอล


• การพัฒนาเครื่องยนต์ E100 ประสิทธิภาพสูง


• การออกแบบเกียร์พิเศษที่รองรับแรงบิดสูงของเอทานอล


• การใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมการเผาไหม้ที่แม่นยำ


บราซิลได้ดำเนินนโยบายเอทานอลมาอย่างต่อเนื่องกว่า 40 ปี ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจน:


• ยานยนต์ Flex-Fuel คิดเป็น 85% ของรถยนต์ใหม่ที่จำหน่าย


• สามารถลดการนำเข้าน้ำมันได้ 120,000 ล้านดอลลาร์


• สร้างงานในภาคเกษตรกรรมได้ถึง 1.5 ล้านตำแหน่ง


• ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมหาศาล


ด้วยการพัฒนาเหล่านี้ อุตสาหกรรมยานยนต์และผู้ผลิตชิ้นส่วนสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง


พิมพ์เขียวและเป้าหมายใหม่ของไทย (Thai E100 Blueprint)


จากความสำเร็จของบราซิล ประเทศไทยสามารถพัฒนาสู่ศูนย์กลางยานยนต์และเชื้อเพลิงชีวภาพ E100 ของโลกได้ โดยมีเป้าหมายหลัก 10 ข้อ:


I. เป้าหมายเชิงเศรษฐกิจและการส่งออก


1. ส่งออกยานยนต์ E100 500,000 คันต่อปี คิดเป็นมูลค่ากว่า 350,000 ล้านบาท


2. เป็น Hub การผลิตชิ้นส่วน E100 ของโลก เช่น ระบบหัวฉีดเชื้อเพลิงและถังน้ำมันที่ทนทานต่อการกัดกร่อนของเอทานอล


3. ส่งออกชิ้นส่วน E100 สู่ตลาดโลก มูลค่า 1 แสนล้านบาทต่อปี


4. เพิ่มมูลค่าส่งออกเอทานอล 50,000 - 70,000 ล้านบาทต่อปี


5. ส่งออกเทคโนโลยี E100 ไปยังประเทศเกษตรกรรมขนาดใหญ่ เช่น บราซิล อินเดีย และประเทศในอาเซียน


II. เป้าหมายด้านสังคมและเกษตรกรรม


6. สร้างงานและรายได้ ให้เกษตรกรกว่า 2.3 ล้านครัวเรือน ให้ก้าวข้ามความยากจน


7. สร้างงานใหม่ ในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม 65,000 อัตรา


III. เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงทางพลังงาน


8. ลดการนำเข้าน้ำมันดิบ ได้ 60,000 - 70,000 ล้านบาทต่อปี


9. ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ ได้ถึง 6.5 ล้านตันต่อปี และลดการปล่อย PM2.5 ได้ 30% - 40%


10. กำหนดมาตรฐาน E100 (Thai E100 Standard) สู่มาตรฐานโลก


แผนยุทธศาสตร์ช่วงเปลี่ยนผ่าน (Transformation Period)


    เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น เราต้องเดินหน้าพร้อมกันในหลายมิติ:


1. ยานยนต์สะสม: ยานยนต์เบนซินกว่า 44 ล้านคัน ยังคงใช้แก๊สโซฮอล์ E10, E20, E85 ต่อไป


2. ยานยนต์ใหม่: ส่งเสริมให้ยานยนต์รุ่นใหม่ใช้ E100 


3. การผลิต: ส่งเสริมการตั้งโรงงานเอทานอลเพิ่มขึ้น และสนับสนุนการปลูกอ้อยและมันสำปะหลังแบบสมาร์ทฟาร์มแปลงใหญ่


4. พัฒนาต่อยอดสู่เศรษฐกิจอนาคต(New S-Curve-Future Economy) Bio-refinery, Ethanol & Biodiesel Gen2, SAF (Sustainable Aviation Fuel), PHEV ,Hydrogen & Fuel Cell ,Future Food&Health Innopolis


ปัจจัยความสำเร็จ: ก้าวที่กล้าเดินเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน


     ความสำเร็จของวิสัยทัศน์นี้ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญในการตัดสินใจและปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ:


1. นโยบายที่ต่อเนื่องและชัดเจน จากภาครัฐ


2. การพัฒนารถยนต์ Flex-Fuel ร่วมกับผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำ


3. ระบบกระจายเชื้อเพลิง ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ


4. การกำหนดราคาเอทานอล ที่แข่งขันได้อย่างยั่งยืน


5.การตรากฎหมายเชื้อเศรษฐกิจชีวภาพ-เชื้อเพลิงชีวภาพ


    หนทางแห่งโอกาสยังยาวไกล แต่ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเริ่ม ก้าวใหม่ที่กล้าเดิน


    การตัดสินใจครั้งสำคัญคือการเลือกว่า ประเทศไทยจะเลือกเป็น“ผู้ตาม”หรือ"ผู้นำระดับโลก(Global Leader)"ของอุตสาหกรรมพลังงานและยานยนต์ของโลกในการสร้างเศรษฐกิจใหม่(New Economy)ตอบโจทย์อนาคตการพัฒนาที่ยั่งยืนและความท้าทายใหม่ๆท่ามกลางภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพพูมิอากาศแบบสุดขั้วรวมทั้งผลกระทบจากภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์ในวันนี้และวันหน้า.

ทั้งนี้

นายสุเมฆ  ปัณฑรานุวงศ์  ประธานมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย(AIT) ได้กล่าวเปิดเสวนาโดยพูดถึงที่มาของการจัดเสวนาว่ามูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย (AIT)องค์กรสาธารณกุศลไม่แสวงหากำไร ได้รับการสนับสนุนจากนาย ขวัญชัย ปภัส์รพงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สื่อสากลจำกัด


ผู้จัดงานมหกรรมยานยนต์นานาชาติ  “ อลังการ งานแสดง “ ครั้งที่ 42/2568  ให้ความสำคัญส่งเสริมนโยบายภาครัฐ  การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดสภาวะโลกร้อน สู่สังคม Net Zero   ในปี  2050 (พศ.2593) ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่   พลังงานทดแทน พลังงานธรรมชาติ เป็น พลังงานทางเลือกมาใช้ทดแทนพลังงานจากฟอสซิลและถ่านหิน……พลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ Biofuel  เป็นพลังงานหมุนเวียน สามารถผลิตขึ้นใหม่ได้ จากพืชผลผลิตจากการเกษตรวัสดุใช้แล้ว เป็นพลังงานทางเลือก ที่ประเทศต่างๆให้ความสนใจ โดยเฉพาะประเทศที่มีพื้นฐานทางด้านการเกษตร…..ประเทศไทยเรามีศักยภาพสูงมาก.

นอกจากนี้ยังมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิร่วมนำเสนอและแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ ความรู้และประสบการณ์ได้แก่

พลเรือเอก ดร.สมัย ใจอินทร์     รองประธานมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย(AIT)วิศวกรเครื่องกลอังกฤษ์  ที่ปรึกษาบริษัทใหญ่ทางด้านขนส่ง ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเชื้อเพลิง ไบโอ ดีเซล ศึกษาวิจัยและพัฒนามาตั้งแต่เริ่มแรก ได้แลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์จริง “ 25 ปี โครงการเชื้อเพลิงชีวภาพ  เหลียวหลังแลหน้า “

ดร.บุรินทร์   สุขพิศาล    อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ” อ้อยและปาล์ม จากพลังงานที่รัฐต้องอุดหนุน สู่พลังงานที่สร้างคุณค่าอย่างยั่งยืน .”

นายสุรพร เพชรดี ผู้จัดการใหญ่ บริษัท BSGF จำกัด   ในกลุ่มบางจาก ครั้งแรกของประเทศไทยกับการผลิตน้ำมันอากาศยานยั่งยืน SAF (Sustainable Aviation Fuel )

ดร.เสกสรร พาป้อง   ผู้เชี่ยวชาญวิจัยและหัวหน้าทีมวิจัย MTEC   แนวทางพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานความยั่งยืนของวัตถุดิบขบวนการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF)

ดำเนินรายการโดย คุณธิบดี หาญประเสริฐ นายกสมาคมวิศวกรรมยานยนต์ไทย (สวยท.) รองประธานมูลนิธิสถาบันพลัง

งานทางเลือกแห่งประเทศไทย(AIT)

คุณพัฒนา  ทิวะพันธุ์     กรรมการบริหารและเลขาธิการมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย (AIT.



ความคิดเห็น